คณะกรรมการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการก่อสร้างท่าเรือแหลมฉบัง ขั้นที่ 3 พอใจการกระบวนการป้องกันผลกระทบสิ่งแวดล้อมในระหว่างการก่อสร้าง แนะบางเรื่องต้องเร่งแก้ไข เผยสามารถเป็นต้นแบบให้โครงการขนาดใหญ่ของประเทศได้ ประชาชนสามารถร่วมแสดงความคิดเห็นได้ ปัญหาจึงได้รับการแก้ไขตั้งแต่ต้นเหตุ
วันนี้ (23 ธ.ค.) นายสนธิ คชวัฒน์ ประธานคณะกรรมการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการก่อสร้างท่าเรือแหลมฉบัง ขั้นที่ 3 เป็นประธาน การประชุม ประชุมการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการก่อสร้างท่าเรือแหลมฉบัง ขั้นที่ 3 โดยมีหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และผู้นำชุมชน เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุม 1 อาคารบริหารท่าเรือแหลมฉบัง
นายสนธิ เผยว่า การประชุมคณะกรรมการฯ ในครั้งนี้ เป็นการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการก่อสร้างท่าเรือแหลมฉบัง ขั้นที่ 3 ซึ่งได้รับความร่วมมือจากทุกๆหน่วยงาน เช่น ผู้รับเหมา ผู้ควบคุมโครงการ ผู้ประกอบการ และ ท่าเรือแหลมฉบัง ทำให้โครงการก่อสร้างท่าเรือแหลมฉบัง ขั้นที่ 3 ราบรื่น และเป็นที่น่าพอใจเป็นอย่างมาก แต่มีประเด็นที่ยังคงค้าง อยู่ 2 ประเด็นหลักๆ การกัดเซาะชายฝั่งแถวย่านบางละมุง โรงโป๊ะ หมู่ 2 และ 3 ซึ่งเรื่องนี้ ท่าเรือแหลมฉบัง ควรจ้างผู้เชี่ยวชาญศึกษาหาสาเหตุ สาเหตุว่าเกิดจากอะไร และจะมีมาตรการในการป้องกันอย่างไร หากศึกษาแล้วมีผลกระทบจริง ท่าเรือแหลมฉบัง จะต้องเสนองบประมาณต่อรัฐบาล เพื่อหามาตรการป้องกันการกัดเซาะและปัญหาอื่นๆต่อไป
นอกจากนั้นปัญหาเรื่องม่านกันตะกอน มีอยู่ในพื้นที่ก่อสร้างในทะเล โดยทางคณะกรรมการฯมีความหวั่นวิตกหากไม่เร่งดำเนินการอาจจะเกิดปัญหา ซึ่งเรื่องนี้ทางผู้รับเหมารับปากจะทำให้เสร็จในเร็วๆนี้ ก่อนจะดำเนินการก่อสร้างโครงการดังกล่าว ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีที่ทางผู้รับเหมารับปากจะดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ตามที่คณะกรรมการฯได้เสนอแนะ
นายสนธิ กล่าวต่อไปว่า ส่วนเรื่องอื่นๆนั้น เช่น การตรวจวัดคุณภาพสิ่งแวดล้อม ซึ่งผู้รับเหมาได้ดำเนินการตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ และทุกๆฝ่ายให้ความร่วมมือและข้อเสนอแนะต่างๆแล้วนำไปปฏิบัติ ทำให้โครงการดำเนินการไปได้ด้วยดี เช่น โครงการถมทะเลขั้นที่ 1 ก็จะเป็นไปตามแผนงาน คาดว่าจะแล้วเสร็จในวันที่ 29 มิ.ย. 2569 และพร้อมส่งมอบพื้นที่ให้บริษัทที่รับช่วงต่อสามารถดำเนินโครงการได้ต่อไป และถือว่าเป็นไปตามแผนงานที่ระบุไว้อย่างแน่นอน
สำหรับในสัญญาที่ 2 คือ การก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ที่พักอาศัย ,ถนน หรือทางรถไฟ ก็จะดำเนินการต่อไป และพร้อมจะเริ่มงานในต้นปีหน้า ซึ่งรายละเอียดในการดำเนินการก่อสร้างดังกล่าวจะต้องพูดคุยกันอีกครั้ง ที่อาจจะส่งผลกระทบต่อประชาชน เช่น ด้านฝุ่นละอองจะต้องมีการพรมน้ำพื้นถนนตลอดเวลา , รถบรรทุกจะต้องไม่ผ่านในเขตพื้นที่ชุมชน นอกจากนั้นแพล้นปูนซิเมนต์ก่อสร้างจะต้องตั้งอยู่ด้านนอกโดยจะไม่อยู่ในพื้นที่เขตท่าเรือแหลมฉบัง
“คิดว่า โครงการก่อสร้างท่าเรือแหลมฉบัง ขั้นที่ 3 จะเป็นโมเมล หรือแบบอย่างให้กับโครงการขนาดใหญ่ในพื้นที่ต่างๆทั่วประเทศ เพราะโครงการนี้ ประชาชนทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็นและเสนอแนะเรื่องต่างๆร่วมกันเป็นอย่างดี ตั้งแต่เริ่มดำเนินการจนถึงปัจจุบันนี้ ปัญหาจึงได้รับการแก้ไขตั้งแต่ต้นเหตุ ไม่บานปลายไปจนถึงถึงสิ้นสุดโครงการแล้วมามีปัญหาร้องเรียนกัน ” นายสนธิ กล่าว
นายสนธิ กล่าวอีกว่า ในเร็วๆนี้ ท่าเรือ F จะส่งมอบให้บริษัท จีพีซี อินเตอร์เนชั่นแนล เทอร์มินอล จำกัด ตามสัญญาสัมปทานบริหารโครงการฯ ในปี 68 โดย ต้องดำเนินการในรูปแบบเดียวกันนี้ คือ จัดตั้งคณะกรรมการไตรภาคี เพื่อประชุมหารือร่วมกันทุกๆ 2 เดือน และจะเป็นโมเมล ให้พื้นที่ต่างๆนำรูปแบบดังกล่าวไปใช้ได้
หลังจากนั้นก่อนปิดการประชุมหารือ คณะกรรมการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการก่อสร้างท่าเรือแหลมฉบัง ขั้นที่ 3 เรือโทยุทธนา โมกขาว ผู้อำนวยการ ท่าเรือแหลมฉบัง กล่าวขอบคุณในความร่วมมือที่ดี ของทุกภาคส่วน พร้อมทั้งของคุณคณะกรรมการฯทุกคน และถือโอกาสสวัสดีปีใหม่ 2568 ในโอกาส นี้่ด้วย
Blogger Comment
Facebook Comment